วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

รายชื่อคณะและวิทยาลัยแพทยศาสตร์ในประเทศไทย

รายชื่อสถาบันแพทยศาสตร์ ระดับสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยที่เปิดสอนหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาแพทยศาสตร์ ที่แพทยสภาให้การรับรองหลักสูตรและเป็นผู้มีสิทธิ์สอบใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม มีทั้งหมด 21 แห่ง[1]ดังต่อไปนี้
รายชื่อจังหวัดปีที่ก่อตั้งหมายเหตุ
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดลกรุงเทพมหานครพ.ศ. 2433เดิมชื่อ คณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็น คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล สังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโอนมาสังกัดมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. 2486
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานครพ.ศ. 2490เดิมชื่อ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สังกัดมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ และโอนมาสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2510
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จังหวัดเชียงใหม่พ.ศ. 2497เดิมชื่อ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลนครเชียงใหม่ สังกัดมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ และโอนมาสังกัดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2508
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลกรุงเทพมหานครพ.ศ. 2508
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์จังหวัดสงขลาพ.ศ. 2515
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นจังหวัดขอนแก่นพ.ศ. 2515
วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้ากรุงเทพมหานครพ.ศ. 2518สถาบันสมทบของมหาวิทยาลัยมหิดล
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒจังหวัดนครนายกกรุงเทพมหานครพ.ศ. 2528
วิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิตกรุงเทพมหานครพ.ศ. 2532
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จังหวัดปทุมธานีพ.ศ. 2533
คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราชกรุงเทพมหานครพ.ศ. 2536เดิมคือ วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล และเปลี่ยนมาสังกัดมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช เมื่อ พ.ศ. 2553
สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีจังหวัดนครราชสีมาพ.ศ. 2536
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรจังหวัดพิษณุโลกพ.ศ. 2537
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพาจังหวัดชลบุรีพ.ศ. 2545
วิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีจังหวัดอุบลราชธานีพ.ศ. 2545
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามจังหวัดมหาสารคามพ.ศ. 2546
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์จังหวัดนราธิวาสพ.ศ. 2548
สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์จังหวัดนครศรีธรรมราชพ.ศ. 2549
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยาจังหวัดพะเยาพ.ศ. 2553
สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจังหวัดเชียงรายพ.ศ. 2555
วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จังหวัดปทุมธานีพ.ศ. 2555สถาบันแพทยศาสตร์หลักสูตรนานาชาติแห่งแรกในประเทศไทย
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยามกรุงเทพมหานครพ.ศ. 2556ผอ.ดร.นพ นัฐพงษ์ โพธิ์เงิน
โครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท กระทรวงสาธารณสุข
(กลุ่มนักศึกษาแพทยศาสตร์พระบรมราชชนก)
จังหวัดนครราชสีมาจังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดราชบุรี จังหวัดนครศรีธรรมราชพ.ศ. 2540สถาบันสมทบของมหาวิทยาลัยมหิดล
วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์กรุงเทพมหานครพ.ศ. 2559เรียนร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ตามระเบียบการและเกณฑ์การรับแพทย์ของกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) ประจำปี พ.ศ. 2559 มีคณะแพทยศาสตร์ 13 สถาบัน ทันตแพทยศาสตร์ 7 สถาบันและสัตวแพทยศาสตร์ 6 สถาบัน ที่จะร่วมดำเนินการรับสมัครและสอบคัดเลือกบุคคลผ่านระบบรับตรง รวม 1592 คน

หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต

หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต
หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต  คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลเปิดรับนักศึกษาแพทย์ปีละประมาณ 160 คน(จำนวนนักศึกษาที่รับเข้าอาจมีการเปลี่ยนแปลง)  คัดเลือกโดยสอบผ่านระบบรับตรงร่วมกับกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย  (กสพท.)  และระบบโควตาของมหาวิทยาลัยมหิดล
คุณสมบัติที่เหมาะสมในการเป็นบัณฑิตแพทย์รามาธิบดี คือ เป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการเป็นแพทย์  มีความคิดเป็นตัวของตัวเอง ใฝ่รู้และมีทักษะทางภาษาอังกฤษ  สามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ค้นคว้า และสนใจในการทำวิจัยด้านการแพทย์
   
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร
หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต  จัดการเรียนรู้แบบบูรณาการความรู้หลายสาขาวิชา  โดยมุ่งหวังให้ผู้เรียนสามารถคิดและวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ มีความใฝ่รู้ เรียนรู้ได้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความเป็นแพทย์  ที่ต้องติดตามความก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยี เพื่อมาประยุกต์ใช้ในวิชาชีพแพทย์ได้ตลอดชีวิต
นักศึกษาแพทย์รามาธิบดีจะได้รับการส่งเสริมให้เป็นผู้นำและทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ  มีทักษะในการติดต่อสื่อสารและมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เป็นแพทย์ที่มีคุณธรรม จริยธรรมที่เหมาะสม ดำรงชีวิตอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จในวิชาชีพเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม
เนื้อหาของหลักสูตร
การเรียนตลอดหลักสูตรของนักศึกษาแพทย์รามาธิบดี  ใช้เวลา6 ปี รวมจำนวน 253 หน่วยกิต แบ่งเนื้อหาการเรียนออกเป็น 3 ช่วง และเสริมด้วยวิชาเลือก คือ
ปีที่ 1  หมวดวิชาศึกษาทั่วไป  กลุ่มวิชาคณิตศาสตร์  วิทยาศาสตร์ มนุษยศาสตร์  สังคมศาสตร์ ศิลปศาสตร์ การศึกษาทั่วไปเพื่อการพัฒนามนุษย์ ภาษาอังกฤษและภาษาไทย
ชั้นปรีคลินิก ปีที่ 2 และ 3  ศึกษาการทำงานของร่างกายมนุษย์ในภาวะปกติและเมื่อเป็นโรคต่างๆ โดยบูรณาการความรู้ทางวิทยาศาสตร์ การแพทย์พื้นฐาน เช่น กายวิภาคศาสตร์  สรีรวิทยา  จุลชีววิทยา เภสัชวิทยา  พยาธิวิทยา  และการเรียนวิชาบทนำเวชศาสตร์คลินิก เพื่อฝึกฝนการซักประวัติ และทักษะการตรวจร่างกายระบบต่างๆ ได้อย่างถูกขั้นตอน รวมทั้งฝึกหัตถการกับหุ่น
ชั้นคลินิก ปีที่ 4 ถึงปีที่ 6  เรียนรู้จากการปฏิบัติงานจริงในโรงพยาบาล ได้ร่วมเป็นหนึ่งในทีมดูแลผู้ป่วย  ศึกษาอาการและการรักษาโรคผ่านการฝึกทักษะกับอาจารย์แพทย์สาขาต่างๆ  การพูดคุยกับผู้ป่วย ฝึกงานในห้องคลอดและห้องผ่าตัด  เข้าค่ายทักษะชีวิต เพื่อเรียนรู้ตนเองและผู้อื่น  และฝึกปฏิบัติงานในโรงพยาบาลในเขตชุมชนและต่างจังหวัด
วิชาเลือกเสรี  เพื่อให้นักศึกษาเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองทั้งด้านวิชาการ คุณธรรม  จริยธรรม  กีฬา  ตลอดจนศิลปวัฒนธรรม
วิชาเลือกคลินิก  เพื่อเสริมประสบการณ์ในสาขาวิชาที่ตนเองสนใจ
สถานที่ศึกษาและแหล่งฝึกปฏิบัติ
  • ปี 1  เรียนวิชาศึกษาทั่วไป ที่วิทยาเขตศาลายา มหาวิทยาลัยมหิดล  จังหวัดนครปฐม
  • ปีที่ 2 และ 3  เรียนที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตพญาไท
  • ปลายปีที่ 3 จนถึงปีที่ 6  เรียนและฝึกปฏิบัติงานใน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี  ศึกษาดูงานที่โรงพยาบาลชุมชนในต่างจังหวัด เช่น จังหวัดนครราชสีมา พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี      สระบุรี  ขอนแก่น  ระยอง  ฉะเชิงเทรา  และ กาญจนบุรี
  • ปีที่ 6  เพิ่มพูนประสบการณ์ทางคลินิก ที่โรงพยาบาลมหาราช จังหวัดนครราชสีมา โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาและโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จังหวัดสุพรรณบุรี
กิจกรรมเสริมหลักสูตร
ส่งเสริมให้นักศึกษาแพทย์มีความรอบรู้ มีทักษะในการพัฒนาตนเอง และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข  โดยมีชมรมนักศึกษาแพทย์รามาธิบดี (ชพร.) เป็นแกนนำในการจัดกิจกรรม เช่น งานเปิดโลกฝันสร้างสัมพันธ์สู่รามา งานมอบเสื้อกาวน์ งานคืนสู่เหย้า และทำกิจกรรมร่วมกับโรงเรียนแพทย์อื่นๆ เช่น กีฬา 17 เข็ม  ฯลฯ 
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มกิจกรรมของนักศึกษาตามความสนใจ  คือ
  • ชมรมวิเทศสัมพันธ์ และ English club ได้พบปะและเยี่ยมชมสถาบันแพทย์ทั่วโลก  ผ่านเครือข่ายองค์กรนักศึกษาแพทย์นานาชาติ
  • ชมรมดนตรีรามาธิบดี จัดประกวดร้องเพลงและงานแสดงดนตรี
  • ชมรมกีฬาและศูนย์ออกกำลังกาย  เช่น ฟุตบอล  แอโรบิค
  • ชมรมถ่ายภาพ อบรมเทคนิค ออก field trip ประกวดภาพถ่าย
  • กิจกรรมศึกษาแหล่งท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรมไทย
  • กิจกรรมแข่งขันตอบปัญหา Ramathibodi’s Medical Student Championship
   
ค่าใช้จ่ายและสวัสดิการนักศึกษา
  • ค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทะเบียนเรียนตลอดหลักสูตรประมาณ 120,000 บาท
  • นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 1 สามารถอยู่หอพักในวิทยาเขตศาลายา และสามารถพักในหอพักแพทย์ของคณะฯ ได้ในชั้นคลินิก ตั้งแต่ ปีที่ 4 ถึงปีที่ 6
  • นักศึกษาที่ต้องการความช่วยเหลือด้านการเงิน  สามารถสมัครขอรับทุนการศึกษา หรือกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาได้ที่งานกิจการนักศึกษา
สัญญาผูกพัน
เมื่อนักศึกษาแพทย์สำเร็จการศึกษาแล้ว ต้องปฏิบัติงานชดใช้ทุนที่โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข หรือ กระทรวงอื่นๆ เป็นเวลา 3 ปี  ถ้าลาออกก่อนครบกำหนดตามสัญญา จะต้องชดใช้เงินให้กับรัฐบาลตามสัดส่วนเวลาที่ปฏิบัติงานไม่ครบในวงเงิน 400,000 บาท
ลักษณะงานที่ทำและความก้าวหน้า
บัณฑิตแพทย์รามาธิบดี สามารถทำงานเป็นแพทย์ในระบบราชการ หรือในโรงพยาบาลและคลินิกเอกชนได้  โดยหลังจากใช้ทุนแล้ว สามารถเลือกศึกษาต่อเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ณ สถาบันในประเทศ และต่างประเทศตามสาขาที่สนใจ เช่น กุมารแพทย์ อายุรแพทย์ ศัลยแพทย์ สูติ-นรีแพทย์ จิตแพทย์ พยาธิแพทย์ทางนิติเวช ฯลฯ นอกจากงานรักษาผู้ป่วย  แพทย์ยังมีโอกาสก้าวหน้าในการทำงาน วิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์  ดำรงตำแหน่งทางวิชาการเป็นศาสตราจารย์ สอนนักศึกษา หรือเป็นที่ปรึกษาและผู้บริหาระดับสูงในองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน
หลักสูตรพิเศษ Ph.D., M.D.
หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิตและแพทยศาสตรบัณฑิต

เป็นโครงการสร้างอาจารย์ของมหาวิทยาลัยมหิดล โดยคณะวิทยาศาสตร์ ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล  มีวัตถุประสงค์ในการผลิตแพทย์นักวิจัยในสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อพัฒนาการแพทย์ของประเทศไทย โดยมีการคัดเลือกนักศึกษาผู้จบการศึกษาชั้นปีที่ 3 ที่มีผลการเรียนดี และมีศักยภาพ แยกไปศึกษาจนสำเร็จระดับปริญญาเอก แล้วจึงกลับมาเรียนต่อชั้นคลินิกที่คณะแพทย์ต้นสังกัดจนสำเร็จเป็นบัณฑิตแพทย์

คุณสมบัติของการเป็นแพทย์


สำหรับคนที่อยากเป็นหมอ หรือ ไม่อยากเป็นแต่ก็อ่านได้ค่ะ
ฮิปโปคราตีส (Hippocrates) เป็นชาวกรีก เกิดประมาณ 460 ปีก่อนคริสตกาล มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยกับนักปราชญ์กรีกคนสำคัญ เช่น โสคราตีส (Socrates) เพลโต (Plato) อริสโตเติล (Aristotle) ฮิปโปครตีสเป็นอาจารย์แพทย์ผู้มีชื่อเสียง ได้เริ่มแนวคิดทางการแพทย์และวิชาการสมัยใหม่ บทนิพนธ์ของฮิปโปครตีส (The Hippocratic collection) เป็นที่มาของจริยศาสตร์การแพทย์ (Medical Ethics) ที่สืบทอดมาเป็นเวลานาน ฮิปโปคราตีสได้กล่าวถึงจิตสำนึกของแพทย์และความรับผิดชอบต่อวิชาชีพไว้ดังนี้

"ผู้ที่เป็นแพทย์ต้องประกอบด้วยคุณลักษณะของความไม่มีอคติแบ่งแยก ความเป็นผู้มีศีลธรรม ความสุภาพอ่อนโยน แต่งกายเหมาะสม มีวิธีการคิดด้วยเหตุผลอย่างเป็นระบบ มีการตัดสินใจที่ดี บุคลิกภาพสงบ น่าเชื่อถือ มีความประพฤติดีงาม มีสติปัญญาสามารถแยกแยะความดีและความชั่ว สิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิต ธรรมชาติที่จะช่วยเหลือผู้อื่นโดยความสามารถ ไม่หลงงมงายในความเชื่อที่ผิด เป็นผู้มีความดีงามโดยที่มนุษย์ทั่วไปพึงมี คุณลักษณะดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผู้เป็นแพทย์พึงตระหนักในจิตสำนึกและพัฒนาตนเอง ส่วนคุณลักษณะที่แพทย์ไม่พึงมีพึงเป็น ได้แก่ ความเป็นผู้ขาดความอดทน หยาบคาย ละโมบ มักมากในกาม ไม่ซื่อสัตยื และขาด
หิริโอตัปปะ คือ ความละอายเกรงกลัวต่อสิ่งที่ผิด"

ฮิปโปครตีสได้กล่าวถึงหลักความประพฤติที่สำคัญสำหรับแพทย์ในการยึดถือปฏิบัติไว้ในคำปฏิญาณของแพทย์ที่จบการศึกษาในสมัยกรีกซึ่งรู้จักกันในชื่อ คำปฏิญาณของฮิปโปคราตีส (The Hippocratic Oath) มีสาระสำคัญ ดังนี้

1)การให้ความเคารพแก่ครูอาจารยืและแสดงออกถึงความกตัญญู โดยการดูแลทุกข์สุขของตัวอาจารย์และครอบครัว

2)การดำรงรักษาไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ของวิชาชีพและแนวทางการดำเนินชีวิต

3)การไม่มีทิฐิในการรักษาผู้ป่วย กรณีใดที่ตนขาดความรู้ ความชำนาญ ก็ไม่ลังเลที่จะเชิญผู้รู้และชำนาญกว่ามาดูแลรักษาแทน แพทย์ไม่พึงให้ร้ายและทะเลาะวิวาทกันเองอันเป็นการเสื่อมเสียเกียรติ

4)ไม่ทำแท้งให้แก่สตรีใดๆ

5)ไม่กระทำในสิ่งที่เป็นผลร้ายต่อผู้ป่วย แม้ว่าจะได้รับการขอร้อง รวมถึงไม่แนะนำในสิ่งที่ผิด

6)การรักษาความลับของผู้ป่วยไม่แพร่งพรายเรื่องราวของผู้ป่วยให้แก่ผู้อื่น

7)การสำรวมระมัดระวังที่จะไม่ประพฤติผิดทางเพศ

ในปัจจุบันบางสิ่งอาจเปลี่ยนไปบ้างแต่ยังคงรักษาพื้นฐานความคิดเดิมไว้ ถ้าจำแนกคุณสมบัติเบื้องต้นให้ชัดเจนและเหมาะสมกับปัจจุบันจะได้ ดังนี้

1.สุขภาพกายต้องแข็งแรง

การเป็นแพทย์ทุกคนต้องมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ หลังเอ็นทรานซ์ติดแล้ว 3 ปีแรกจะเป็นช่วงที่ไม่ค่อยทำงานอดหลับอดนอน เมื่อเข้าสู่ปี 4 จะมีการอยู่เวรยาม แต่ยังไม่โหด อาจถึงแค่เที่ยงคืน เมื่อเข้าสู่ปี 6 เวรจะโหดมากต้องอยู่วันเว้นวันหรือ วันเว้นสองวัน นักศึกษาปี 6 นี้ต้องดูแลผู้ป่วยตลอดคืน คนไข้เป็นอะไรต้องตามนิสิตแพทย์ก่อน ในขณะที่กลางวันต้องทำงาน บางคนเป็นลมข้างเตียงผู้ป่วยก็มี ดังนั้น การมีร่างกายแข็งแรงมีความจำเป็น เพราะถ้าไม่เช่นนั้นอาจทำให้การทำงานขาดสะบั้นลงได้

2.ความเมตตากรุณาต่อผู้ที่ได้รับความทุกข์ทรมาน

สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร์ อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์ไทย และพระบิดาแห่งการสังคมสงเคราะห์ ได้สั่งสอนนักเรียนแพทย์ให้ยึดมั่นในอุดมคติ ดังนี้ 

"ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นกิจที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง"
พรหมวิหารธรรมเป็นธรรมอันประเสริฐ เป็นธรรมเครื่องอยู่ของพรหม สำหรับผู้เป็นแพทย์ ทำให้แพทย์ผู้ปฏิบัติพรหมวิหารธรรมเสมอด้วยพรหม มี 4 ประการ คือ

1)เมตตา ความรักใคร่ ปราถนาดีอยากให้ผู้ป่วยมีความสุขมีจิตอันแผ่ไมตรีและคิดทำประโยชน์แก่ผู้ป่วยเสมอ

2)กรุณา ความสงสารใฝ่ใจอันปลดเปลื้องบำบัดความทุกข์ยากเดือดร้อนของผู้ป่วยที่กำลังได้รับอยู่ (Altruism)

3)มุทิตามี ความยินดีเมื่อผู้ป่วยอยู่ดีมีสุข 

4)อุเบกขา ความวางใจเป็นกลาง มีจิตเรียบตรงดุจตราชั่ง ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง

3.มีทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
แพทย์ต้องไม่รังเกียจที่จะพูดคุยกับคนอื่น เมื่อผู้ป่วยซักถามอะไรที่อาจไม่มีสาระ แพทย์ก็ควรตอบให้ผู้ป่วยเข้าใจโดยไม่รำคาญ อาจารย์แพทย์มักกล่าวว่า "ถ้าหมอหรือญาติของหมอเองเจ็บป่วยด้วยโรคที่หมอเองก็ยังไม่รู้ ต้องพึ่งคุณหมอคนอ่น คุณอยากถามอะไรกับคุณหมอท่านนั้นบ้างล่ะ"

ในโรงเรียนแพทย์เรื่องนี้ถือเป็นจุดด้อยเพราะไม่มีการเรียนรู้อย่างจริงจัง แต่จะเรียนรู้ทางอ้อมจากการซึมซับจากอาจารย์แพทย์ การปฏิบัติงาน ไม่ใช่ว่าแพทย์จะดุผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยไม่ได้ แต่แพทย์สามารถเตือนได้เมื่อผู้ป่วยทำสิ่งที่ไม่สมควร (ไม่ดุก็เหมือนดุ) ไม่ใช่เพราะผู้ป่วยไม่ฟังแพทย์ แต่เพราะแพทย์เป็นห่วงผู้ป่วย สิ่งที่ผู้ป่วยทำอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิต

4.มีสติปัญญาที่ดี

ร่างกายของคนเรามหัศจรรย์มาก คือ เห็นเป็นรูปร่างอย่างนี้ ข้างในมีอะไรให้เราศึกษาได้อย่างไม่ณุ้จบสิ้น แพทย์ต้องเรียนรู้รายละเอียดทั้งหมดในร่างกาย ผูที่เป็นนักศึกษาแพทย์ต้องมีความจำดีไม่ใช่ได้หน้าลืมหลัง เพราะมีความรู้ใหม่ๆแทรกมาตลอดเวลา ซึ่งความรู้พวกนี้ต้องใช้ความรู้พื้นฐานชั้นต้นๆมาเรียนรู้ตลอด 6ปี แพทย์ต้องมีความเข้าใจ มีความคิดสร้างสรรค์ที่ดี ไม่ใช่เอาแต่ท่องจำอย่างเดียว ต้องเป็นผู้ขยันหาความรู้ เพราะวิทยาศสาตรืจะมีความรู้ใหม่ๆเข้ามาเสมอ นอกจากนี้ แพทยืต้องมีวิจารณญาณสูง เพราะแพทย์ต้องวิเคราะห์องค์ความรู้ที่มีอยู่มากมายมาเป็นของตนเอง เลือกได้ว่าสิ่งใดดีสิ่งใดไม่ดี